top of page
Search

โรคตาในกระต่าย ที่อาจรุนแรงถึงตาบอด

  • Writer: Monthinee Jongjesdakul
    Monthinee Jongjesdakul
  • 8 hours ago
  • 2 min read

ม่านตาอักเสบและโรคของเลนส์ (Uveitis and diseases of the lens)


การติดเชื้อ Encephalitozoon cuniculi ทำให้เกิดภาวะ phacoclastic uveitis ในกระต่ายได้ โดยเชื้อ E. cuniculi เป็นเชื้อโปรโตซัวที่ทำให้เกิด granulomatous encephalitis และรอยโรคที่ไตในกระต่าย กระต่ายส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ แต่บางตัวอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก ตัวสั่น คอเอียง อัมพาตบางส่วน หรือโคม่า


โรคนี้สัมพันธ์กับการเกิด phacoclastic uveitis โดยมักพบในกระต่ายอายุน้อยกว่า 2 ปี และพบได้บ่อยในกระต่ายพันธุ์แคระ ลักษณะเด่นคือ มีก้อนสีขาวในช่องหน้าลูกตา ตรวจด้วย slit-lamp พบการแตกของแคปซูลหน้าเลนส์ร่วมกับต้อกระจก อาการทางตาที่พบบ่อยคือ ม่านตาอักเสบ หรือ uveitis รุนแรง เช่น เยื่อบุตาแดง ม่านตาบวมแดง หดเล็ก (miosis) aqueous flare และความดันลูกตาต่ำ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดตาบอด ตาหดยุบลง (phthisis bulbi) หรือ ต้อหิน (glaucoma) ตามมาได้



การวินิจฉัย


  • ตรวจระดับแอนติบอดีในซีรั่มต่อ E. cuniculi และ P. multocida เพื่อแยกโรค


  • ตรวจตาด้วย slit-lamp biomicroscopy



การรักษา


  • การรักษาหลัก: ผ่าตัดเอาเลนส์ออกด้วย phacofragmentation (ไม่ใส่เลนส์เทียมเนื่องจากกระต่ายสร้างเลนส์ใหม่ได้)


  • การรักษาทางยา: albendazole (30 mg/kg PO q24h × 30 วัน จากนั้น 15 mg/kg × 30 วัน) หรือ fenbendazole (20 mg/kg PO q24h × 28 วัน)


  • ควบคุมการอักเสบ: ยาหยอดตา steroid หรือ NSAIDs


  • หากตาเจ็บปวดเรื้อรังและควบคุมไม่ได้ อาจพิจารณาผ่าตัดนำลูกตาออก (enucleation)


สำหรับต้อกระจกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (spontaneous cataract) ในกระต่ายพบได้ไม่บ่อย ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ การอักเสบเรื้อรัง หรือการบาดเจ็บ และอาจนำไปสู่ต้อหินหรือเนื้องอกในลูกตาภายหลัง



รูปแสดงรอยโรคในตาที่เกิดจากการติดเชื้อ E. cuniculi พบว่ามี white lesion อยู่ที่ม่านตา และยื่นออกมาที่ช่องหน้าตา มีภาวะต้อกระจกเกิดขึ้น
รูปแสดงรอยโรคในตาที่เกิดจากการติดเชื้อ E. cuniculi พบว่ามี white lesion อยู่ที่ม่านตา และยื่นออกมาที่ช่องหน้าตา มีภาวะต้อกระจกเกิดขึ้น

ต้อหินในกระต่าย (Congenital Glaucoma)


Congenital Glaucoma หรือภาวะต้อหินที่เป็นมาแต่กำเนิดในกระต่ายเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal recessive กระต่ายที่เป็นโรคนี้จะมีความดันในลูกตาสูงตั้งแต่อายุประมาณ 3 เดือน เมื่ออายุมากขึ้นจะพบอาการ buphthalmos (ลูกตาขยายโตผิดปกติ) กระจกตาขยายและขุ่นขึ้นอย่างชัดเจน พบความผิดปกติของโครงสร้างบริเวณ iridocorneal angle เกิดการฝ่อของ ciliary processes และ optic disc เว้าลึกขึ้น(optic nerve excavation)


Secondary glaucoma หรือภาวะต้อหินที่ตามมาจากโรคตาอย่างอื่น เช่น แผลกระจกตา แล้วทำให้เกิดภาวะ uveitis จนทำให้ความดันตาสูงตามมาได้


ต้อหินส่วนใหญ่ที่พบในกระต่าย ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดตามหลัง (secondary) ภาวะยูเวียอักเสบที่มีสาเหตุจากเลนส์ (lens-induced uveitis) ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อ Encephalitozoon cuniculi


หากความดันตาสูงเป็นระยะเวลานาน ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ โดยจะตรวจไม่พบ Dazzle reflex ร่วมกับมีประวัติการเดินชน หรือไม่สามารถกระโดดได้ตามปกติ



การรักษา


  • สามารถใช้ยาหยอดตาลดความดันลูกตาที่ใช้ในสุนัข เช่น 0.5% timolol maleate และ 2% dorzolamide ได้ แต่ผลการตอบสนองต่อการรักษาในกระต่ายอาจคาดเดาได้ยาก จึงควรติดตามวัดความดันลูกตาอย่างใกล้ชิด


  • การรักษาทางศัลยกรรม เช่น enucleation (ผ่าตัดนำลูกตาออก) การใส่ intrascleral prosthesis หรือการทำลาย ciliary body ด้วยเลเซอร์ (laser cycloablation) ก็เป็นทางเลือกในการรักษา โดยวิธีเลเซอร์ไม่สามารถใช้ในกระต่ายพันธุ์อัลบิโนได้


  • หากไม่ได้รักษาในรายเรื้อรัง ความดันลูกตาอาจกลับสู่ปกติเอง เนื่องจากการฝ่อของ ciliary body



รูปแสดงภาวะต้อหินในกระต่าย พบว่ากระจกตาขุ่นขึ้นจนไม่เห็นม่านตาหรือช่องหน้าม่านตา
รูปแสดงภาวะต้อหินในกระต่าย พบว่ากระจกตาขุ่นขึ้นจนไม่เห็นม่านตาหรือช่องหน้าม่านตา


โรคในเบ้าตา (Orbital Disease)


Exophthalmos (ลูกตาโปน) เป็นสัญญาณทางคลินิกที่พบบ่อยที่สุดในโรคของเบ้าตา ในกระต่าย โดย ฝีหลังลูกตา (retrobulbar abscess) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของ exophthalmos แบบข้างเดียว โดยมักสงสัยว่าเกิดจากการติดเชื้อ Pasteurella multocida แม้ว่าจะยืนยันเชื้อด้วยการเพาะแยกเชื้อได้ยากก็ตาม


เชื้อโรคมักเข้าสู่เบ้าตาผ่าน รากฟันกรามที่ติดเชื้อ (พบบ่อยที่สุด) หรือจากการแพร่กระจายทางกระแสเลือด (hematogenous spread) การวินิจฉัยอาศัยการตรวจอาการทางคลินิก ร่วมกับ อัลตราซาวด์ลูกตา หรือ CT scan พร้อมฉีดสารทึบรังสี


การรักษา ค่อนข้างทำได้ยาก เนื่องจากฝีในกระต่ายมีลักษณะหนาแน่น (caseous) และไม่สามารถเปิดระบายหนองได้เหมือนในสุนัข เนื่องจากมีหลอดเลือดหนาแน่นในบริเวณเบ้าตา หลายกรณีจึงต้องทำ exenteration (ผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อในเบ้าตาทั้งหมดออก) ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะระยะยาว


ในกรณีที่เป็นฝีจาก P. multocida อาจตอบสนองต่อ procaine penicillin ฉีดเข้ากล้ามในขนาด 30,000–60,000 U/kg ทุก 24 ชม. นานหลายสัปดาห์ โดยบางรายงานใช้ขนาดเท่ากันแต่ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งได้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้ penicillin ในกระต่ายต้องระมัดระวังมาก เพราะอาจทำให้เกิด enterocolitis รุนแรงจนเสียชีวิต หรือ anaphylaxis ได้จากการเปลี่ยนแปลงของจุลชีพในทางเดินอาหาร ถึงแม้จะผ่าตัดและให้ยารักษาอย่างเต็มที่ ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง และบางครั้งจำเป็นต้องทำการุณยฆาต


สาเหตุอื่นของ exophthalmos ข้างเดียว ได้แก่ ซีสต์จากพยาธิ (parasitic cysts), salivary mucocele, orbital cellulitis และเนื้องอกของเบ้าตา


exophthalmos แบบสองข้าง ในกระต่ายมักเกิดจากความเครียด หรือมีก้อนใน mediastinum ส่วนหน้า เช่น เนื้องอก ฝี หรือ granuloma ซึ่งรบกวนการระบายเลือดดำ ทำให้เกิดการคั่งของเลือดและหลอดเลือดในเบ้าตาขยายใหญ่ขึ้น ก้อนที่พบบ่อย ได้แก่ thymoma, lymphoma และ metastatic thymic carcinoma


การซักประวัติอย่างละเอียด มีความสำคัญในการแยกว่า exophthalmos เกิดจากความเครียดชั่วคราว หรือเกิดจากโรคจริง ๆ



รูปแสดงตาขวาโปนในกระต่าย เนื่องจากเกิดฝีขนาดใหญ่ด้านหลังลูกตา
รูปแสดงตาขวาโปนในกระต่าย เนื่องจากเกิดฝีขนาดใหญ่ด้านหลังลูกตา


แหล่งอ้างอิง


  • Maggs, D. J., Miller, P. E., and Ofri R. (2018). Veterinary Ophthalmology. (6th ed.). Missouri: Elsevier.


  • Woerdt, A. (2012). Ophthalmic Diseases in Small Pet Mammals. Saunders: Elsevier.





 
 
 

Comments


bottom of page