การวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตสูง (Diagnosis of hypertension)
- Admin UVET
- 11 hours ago
- 3 min read
การวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension) ควรใช้ค่าความดันโลหิตที่เชื่อถือได้ และใช้ค่า systolic blood pressure (SBP) เป็นตัวกำหนดแนวทางการรักษา และควรทำการวัดซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป เพื่อยืนยันผลก่อนตัดสินใจรักษา หากตรวจพบภาวะความเสียหายต่ออวัยวะเป้าหมาย (target organ damage; TOD) เช่น จอประสาทตาเสียหายหรือโรคไตเรื้อรัง สามารถเริ่มการรักษาได้ทันทีจากการวัดเพียงครั้งเดียว

การแบ่งระดับตามความเสี่ยงของการเกิดความเสียหายต่ออวัยวะเป้าหมาย (TOD)
ความดันโลหิตปกติ (Normotensive ความเสี่ยง TOD ต่ำมาก) : SBP < 140 mmHg
ภาวะก่อนความดันโลหิตสูง (Prehypertensive ความเสี่ยง TOD ต่ำ) : SBP 140–159 mmHg
ภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertensive ความเสี่ยง TOD ปานกลาง) : SBP 160–179 mmHg
ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรง (Severely hypertensive ความเสี่ยง TOD สูง) : SBP ≥ 180 mmHg
การประเมินการรักษา
ในกรณีที่มีความดันโลหิตอยู่ในระดับ prehypertensive (140–159 mmHg) หรือ hypertensive (160-179 mmHg) มีความเสี่ยงต่อ TOD ในระดับปานกลาง ควรวัดซ้ำภายใน 4–8 สัปดาห์ เพื่อยืนยันผล แต่หากเป็นความดันโลหิตสูงรุนแรง severe hypertension (≥180 mmHg) มีความเสี่ยงของการเกิด TOD สูงมาก ควรวัดซ้ำภายใน 1–2 สัปดาห์
ถ้าค่าความดันโลหิตอยู่ในช่วง prehypertensive ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยาลดความดัน แต่ควรติดตามสุขภาพและวัดความดันอย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน
เมื่อพบว่าค่าความดันโลหิตสูงต่อเนื่อง (persistent hypertension) และไม่เกิดจาก situational hypertension ควรเริ่มตรวจหาโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ (secondary hypertension) และรักษาภาวะพื้นฐานนั้นทันที เพราะการแก้ไขสาเหตุอาจช่วยลดความดันโลหิตทั่วร่างกาย และทำให้การควบคุมโรคง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะรักษาภาวะพื้นฐานแล้วความดันโลหิตมักไม่ลดลงสู่ระดับปกติ (normotensive) และยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของอวัยวะเป้าหมาย (target organ damage; TOD)
แนวทางการรักษา (General treatment guidelines)
รักษาควบคู่กับโรคต้นเหตุ และรักษาความเสียหายของอวัยวะเป้าหมาย (TOD)
ลดความดันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรลดลงทันที
เป้าหมายสูงสุด SBP < 140 mmHg (normotensive)
เป้าหมายขั้นต่ำ SBP ≤ 160 mmHg (prehypertensive)
หาก SBP ≥ 160 mmHg ควรปรับการรักษาใหม่
หาก SBP < 120 mmHg ร่วมกับมีอาการอ่อนแรง เป็นลม หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งเป็นอาการของภาวะความดันต่ำ ต้องปรับแผนการรักษา
หากใช้ยาตัวแรกได้ผลไม่พอ
- เพิ่มขนาดยา หรือ
- เพิ่มยาตัวที่สอง (multiagent therapy)
ในสุนัขพบความดันดื้อยาบ่อยกว่าแมว สุนัขมักต้องใช้ยาร่วม ≥ 2 ชนิด
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมคลอไรด์สูง แต่แนวทางนี้ยังคงมีข้อถกเถียงอยู่พอสมควร เนื่องจากมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าการจำกัดโซเดียมเพียงอย่างเดียวมักไม่สามารถลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้สุนัขและแมวปกติไม่ไวต่อเกลือ (not salt-sensitive) ดังนั้น การเลือกอาหารควรพิจารณาจากโรคร่วมอื่น ๆ และความน่ากินของอาหารด้วย
การจัดการภาวะความดันโลหิตสูงในสุนัข (Management of hypertension in dogs)
การรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในสุนัขมุ่งหวังให้ค่า SBP ลดลงอย่างน้อย หนึ่งระดับ (1 substage) จากค่าก่อนเริ่มการรักษา โดยทั่วไปความดันโลหิตสูงในสุนัขไม่ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน จึงควรลดค่าความดันอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในระยะเวลาหลายสัปดาห์เพื่อความปลอดภัย
การเลือกใช้ยา
ในกรณีที่มีโรคอื่นๆร่วมด้วย สามารถเลือกใช้ยาตามสาเหตุ เช่น
α- และ β-adrenergic blockers
ใช้เมื่อมีความดันโลหิตสูงจากเนื้องอกต่อมหมวกไต (Pheochromocytoma)
Aldosterone receptor blockers
ใช้เมื่อมีภาวะหลั่งอัลโดสเตอโรนมากเกินจากเนื้องอกต่อมหมวกไต (hyperaldosteronism)
ในกรณีทั่ว ๆ ไป ยาที่ใช้มากที่สุดในการลดความดันโลหิตในสุนัข ได้แก่
กลุ่ม Renin–Angiotensin–Aldosterone System (RAAS) inhibitors
กลุ่ม calcium channel blockers (CCB)
กลุ่ม RAAS inhibitors
เป็น first-line drug ในสุนัข เนื่องจาก
- มีฤทธิ์ลดโปรตีนในปัสสาวะ (antiproteinuric effect)
- เหมาะกับสุนัขที่เป็นโรคไตร่วมด้วย (พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง)
- ค่า urine protein creatinine ratio (UPCR) ลดลง ≥ 50% และควรมีค่า UPCR < 0.5
ยาในกลุ่มนี้
ACE inhibitors (ACEi) : enalapril, benazepril
- ขนาดเริ่มต้น 0.5 mg/kg PO ทุก 12 ชม.
- เป็นยาที่ใช้กันมากที่สุดในเวชปฏิบัติ
Angiotensin receptor blockers (ARB) : telmisartan
- ขนาดที่ใช้ 1.0 mg/kg PO วันละครั้ง
Aldosterone antagonists
กรณีสุนัขที่มีความดันสูง “รุนแรงมาก”
หากสุนัขมีค่า SBP มากกว่า 200 mmHg ถือว่าเป็นภาวะรุนแรงมาก จำเป็นต้องใช้ยา ตั้งแต่ 2 กลุ่มร่วมกันตั้งแต่แรกเริ่ม ได้แก่
- ยากลุ่ม ACEi หรือ ARB ร่วมกับ
- Amlodipine ขนาด 0.1–0.5 mg/kg PO วันละครั้ง
ไม่ควรใช้ยากลุ่ม CCB เพียงชนิดเดียวในสุนัข
- CCB จะทำให้ หลอดเลือดส่วน afferent ของไตขยายตัว ส่งผลให้ ความดันในโกลเมอรูลัสสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไตเสียหายได้
- ในทางตรงกันข้าม ACEi และ ARB จะทำให้ หลอดเลือดส่วน efferent ขยายตัว จึงช่วยลดความดันในเส้นเลือดฝอยของไต
ดังนั้น การใช้ RAAS inhibitor ร่วมกับ CCB จะช่วยปรับสมดุลความดันในโกลเมอรูลัสได้ดีและปลอดภัยกว่าการใช้ยาเพียงกลุ่มเดียว
การจัดการภาวะความดันโลหิตสูงในแมว (Management of hypertension in cats)
Amlodipine เป็นยาลดความดันอันดับแรกในแมว เพราะ
มีหลักฐานชัดเจนว่าลดความดันได้ดี
ใช้ได้ผลทั้งในภาวะความดันสูงไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic hypertension) และแมวที่มีโรคไตเรื้อรัง (CKD)
ขนาดยาแนะนำ
SBP < 200 mmHg : เริ่มที่ 0.625 mg/ตัว/วัน
SBP > 200 mmHg : อาจเริ่มที่ 1.25 mg/ตัว/วัน
บางกรณีอาจต้องเพิ่มถึง 2.5 mg/ตัว/วัน
ผลข้างเคียง (พบน้อย)
บวมบริเวณปลายเท้า (peripheral edema)
เหงือกหนาตัว/โตผิดปกติ (gingival hyperplasia)
ภาวะ Proteinuria ในแมวความดันโลหิตสูง
มีข้อมูลว่าแมวที่มี proteinuria ระดับปานกลางหรือสูง เมื่อรักษาด้วย amlodipine สามารถลดค่า proteinuria ได้ชัดเจน
แม้การใช้ amlodipine ร่วมกับ ACEi หรือ ARB จะปลอดภัย แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการเพิ่มยาต้าน proteinuria ช่วยยืดอายุขัยได้ ในแมวที่ควบคุมความดันด้วย amlodipine ได้แล้ว แต่ยังมี protein ในปัสสาวะอยู่
การใช้ ACE inhibitors (ACEi) ในแมว
ไม่แนะนำให้เป็นยาลดความดันตัวแรก เนื่องจาก ACEi สามารถลดความดันได้เพียง 10 mmHg ซึ่งไม่เพียงพอในทางคลินิก
ใช้เป็นยาตัวที่สองร่วมกับ amlodipine ได้
การใช้ Telmisartan (ARB) ในแมว
ลดการตอบสนองความดันต่อ angiotensin I ได้ดี
ขนาดสูง 3 mg/kg q24h ลด SBP ได้ดีกว่า benazepril
แต่ยังไม่ทราบผลแน่ชัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษา ความดันสูงรุนแรงในแมว และประสิทธิภาพในแมวที่มี TOD ทางตาหรือระบบประสาท
การจัดการภาวะความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน (Acute Hypertensive Emergency) ในสุนัขและแมว
ภาวะความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน
เมื่อ SBP ≥ 180 mmHg
ร่วมกับมีความเสียหายต่ออวัยวะเป้าหมายแบบเฉียบพลัน (acute TOD)
อวัยวะที่ได้รับผลมากที่สุดคือ ดวงตา (เลือดออก, retinal detachment) และ ระบบประสาท (ชัก, ซึม, หมดสติ)
หลักการสำคัญในการรักษา
แม้ความดันจะสูงมากแต่ห้ามลดลงเร็วเกินไป เพราะเมื่อมีความดันสูงเรื้อรัง ระบบหลอดเลือดของสมองและไตจะมีการปรับตัวให้ทนต่อความดันที่สูงขึ้น ดังนั้น หากลดความดันลงเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ (hypoperfusion) ได้
เป้าหมายการลดความดัน
ชั่วโมงแรก : ลด SBP ประมาณ 10%
ชั่วโมงถัดไป : ลดเพิ่มอีก ประมาณ 15%
จากนั้นค่อย ๆ ปรับจนใกล้ระดับปกติอย่างระมัดระวังยาฉีดลดความดัน (Acute IV Agents)
Fenoldopam : เป็น selective dopamine-1 receptor agonist
ข้อดี
เพิ่มการขยายหลอดเลือดไต
เพิ่มการขับโซเดียม (natriuresis)
เพิ่ม GFR ในสุนัข
ทำให้เกิด diuresis ในแมว
ขนาดยา:
เริ่มที่ 0.1 µg/kg/min CRI
เพิ่มทีละ 0.1 µg/kg/min ทุก 15 นาที จนได้ SBP ที่ต้องการ
ขนาดสูงสุด 1.6 µg/kg/min
ผลของยาหมดภายในไม่กี่นาทีหลังหยุดให้ยา
Labetalol
Dose 0.25 mg/kg IV
ให้ซ้ำได้จนถึง dose รวม 3.75 mg/kg
จากนั้น CRI 25 µg/kg/min
Hydralazine
Loading dose 0.1 mg/kg IV
CRI 1.5–5.0 µg/kg/min
Nitroprusside
0.5–3.5 µg/kg/min IV CRI
Phentolamine : ใช้กรณีที่เกี่ยวกับ pheochromocytoma
Loading dose 0.1 mg/kg IV
CRI 1–2 µg/kg/min
สำหรับแมว-ข้อมูลยาฉีดยังมีจำกัดมาก
รายงานเพียงเล็กน้อย เช่น Hydralazine SC 1.0–2.5 mg/ตัว ในกรณีหลังปลูกถ่ายไต
การดูแลหลังเริ่มยาฉีด
ติดตามความดันอย่างต่อเนื่องหรือถี่มาก เพื่อป้องกันความดันตกเร็วเกินไป
เมื่อความดันเริ่มคงตัวเป็นเวลา 12–24 ชั่วโมง สามารถเริ่มยากินและค่อย ๆ ลดขนาดยาฉีดลง
กรณีไม่มียาฉีด : สามารถใช้ยากินที่ออกฤทธิ์เร็วได้ชั่วคราว
Hydralazine
- Dose 0.5–2 mg/kg ทุก 12 ชม
- ออกฤทธิ์เร็ว เหมาะสำหรับการลดความดันเร่งด่วนในทั้งสุนัขและแมว
Amlodipine
- 0.2–0.4 mg/kg ทุก 24 ชม.
- เพิ่มได้ถึง 0.6 mg/kg ทุก 24 ชม. ด้วยความระมัดระวัง
ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงในสัตว์ยังมีการวิจัย และพัฒนาอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้มีการวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้น มีเครื่องมือที่เหมาะสม และทางเลือกการรักษาที่จำเพาะมากขึ้น จะช่วยให้การจัดการภาวะความดันโลหิตสูงในสุนัขและแมวมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงของความเสียหายต่ออวัยวะเป้าหมายได้ดีขึ้น
แหล่งอ้างอิง
Acierno MJ, Brown S, Coleman AE, Jepson RE, Papich M, Stepien RL, Syme HM. ACVIM
consensus statement: Guidelines for the identification, evaluation, and management of
systemic hypertension in dogs and cats. J Vet Intern Med. 2018;32(6):1803-1822.




Comments