top of page
Search

แมวอ้วกบ่อยไม่ใช่เรื่องเล็ก! รู้ทันสาเหตุ อาการเตือน และวิธีดูแลเบื้องต้น

  • Writer: Monthinee Jongjesdakul
    Monthinee Jongjesdakul
  • 7 minutes ago
  • 1 min read

ก่อนที่แมวจะอ้วกน้องแมวเองจะส่งสัญญาณเตือนให้เหล่าทาสรู้ก่อนเสมอ ดังนั้นถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เหล่าทาสควรต้องสังเกตอาการอะไรเป็นพิเศษ มาดูกันในบทความนี้


แนะนำวิธีดูแลเมื่อแมวอ้วก พร้อมสัญญาณเตือนและคำแนะนำจากสัตวแพทย์ โรงพยาบาลสัตว์ยูเว็ท
แนะนำวิธีดูแลเมื่อแมวอ้วก พร้อมสัญญาณเตือนและคำแนะนำจากสัตวแพทย์ โรงพยาบาลสัตว์ยูเว็ท

อาการก่อนที่น้องจะอ้วกที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตุเห็นง่ายๆเลยนั่นก็คือ น้องแมวมักจะซึม มีน้ำลายไหล และออกอาการพะอืดพะอม บางตัวชอบโก่งตัว เพราะน้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับน้องๆ เราควรเตรียมตัวรับมือ และเข้าใจอาการก่อนที่จะตื่นตระหนก เพราะบางที การอ้วกของน้องอาจจะยังไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายจนกระทั่ง เราต้องตื่นตระหนกใจไป


สาเหตุหลักๆ ที่น้องแมวอ้วก สามารถแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆ


1) อ้วกที่เกิดจากระบบทางเดินอาหารโดยตรง เช่น การกินสิ่งแปลกปลอม กินสารพิษ แผลในทางเดินอาหาร การอักเสบติดเชื้อที่ทางเดินอาหาร มะเร็งหรือเนื้องอกในทางเดินอาหาร เป็นต้น


2) อ้วกที่ไม่ได้เกิดจากระบบทางเดินอาหารแต่เกิดจากระบบอื่นๆ เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวานเป็นพิษ โรคทางระบบประสาท เป็นต้น


โดยการอาเจียน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถรอดูอาการก่อนได้ โดยสังเกตุว่าสิ่งที่ออกมาคืออะไร แมวมีการกินสิ่งแปลกปลอมไปหรือไม่ อาหารก่อนหน้านี้ที่น้องกินไปคืออะไร ได้มีการตรวจวันหมดอายุก่อนให้หรือไม่ และ มีการจัดการอาหารอย่างไรบ้าง ตัวอย่างของการอาเจียนที่สามารถรอดูอาการก่อนได้


เช่น การอาเจียนออกมาเป็นก้อนขน เกิดจากการที่แมวเลียขนเพื่อแต่งตัว ขนจึงหลุดร่วงเเละกินขนเข้าไป หากปริมาณไม่มากก็จะสามารถขับออกมาได้ผ่านอุจจาระ แต่ถ้าไม่สามารถขับออกมาได้ทางอุจาระน้องแมวก็สามารอ้วกออกมาเป็นก้อนขนที่อัดเเน่น เนื่องจากกระบวนการบีบตัวของทางเดินอาหารนั่นเอง


หรือการกินอาหารที่เน่าเสียที่มีเชื้อโรค ก็ส่งผลให้แมวอ้วกได้โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย และสิ่งที่คนมักละเลยก็คือ การทิ้งอาหารเปียกไว้ให้แมวกินเรื่อยๆ โดยไม่ล้างทำความสะอาด หรือแม้กระทั่งการวางอาหารทิ้งไว้นานๆ เพราะอาหาร และภาชนะที่ใส่อาจได้รับการ เจือปน/ปนเปื้อน ของเชื้อโรคจนทำให้อาหารเสียและมีเชื้อเจริญเติบโตซึ่งส่งผลกับทางเดินอาหารของน้องแมวได้


เมื่อไหร่ที่แมวอ้วก แล้วควรพาไปโรงพยาบาลสัตว์ ?!


  • หากแมวอ้วกจากสาเหตุเล็กน้อย

    เช่น กินเร็วเกินไป มักดีขึ้นภายใน 1-2 วัน แต่ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน


  • แมวที่ได้รับสารพิษ หรือกลืนสิ่งแปลกปลอม


ถ้าหากรู้แน่ชัดว่าน้องแมวได้รับสารพิษ หรือกลืนสิ่งแปลกปลอมมาไม่ต้องรอ 1-2 วันแต่ควรนำส่งโรงพยาบาลทันที ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง เพราะยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสการรักษาหายยิ่งสูง


  • แมวที่อาเจียนสัมพันธ์กับมื้ออาหาร


อาจเป็นสัญญาณของการอุดตันในทางเดินอาหาร เพราะการที่มีสิ่งแปลกปลอมในลำไส้อุดตันอยู่ทำให้อาหารที่กินเข้าไปไม่สามารถผ่านไปยังส่วนอื่นๆได้ส่งผลให้เกิดการบีบตัวย้อนกลับ จึงเป็นการอาเจียนที่เกิดขึ้นหลังกินอาหาร


  • หากอาเจียนร่วมกับอาการอื่น


เช่น ถ่ายเหลว ซึม หรืออ่อนแรง อาจบ่งบอกถึงโรคติดเชื้อรุนแรงหรือโรคเรื้อรัง ถ้าอาเจียนบ่อยเกินวันละ 2-3 ครั้ง หรือมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 24 - 48 ชั่วโมง ควรเข้ารับการตรวจทันที เพราะอาจเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน


ลักษณะของอ้วก บ่งบอกโรคได้อย่างไร


นอกจากนั้นเรายังสามารถสังเกตจากสีและลักษณะของอ้วกเพราะมันสามารถบ่งบอกความเชื่อมโยงกับโรคได้


  • อ้วกเป็นฟองสีขาว


    เป็นน้ำลาย เมือกจากกระเพาะ หรือน้ำ อาจจะเกิดจากการไอ-ขากของแมว ซึ่งหากมีอาการไอร่วมด้วยมักเป็นปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจ หรือเป็นการอาเจียนแต่ในกระเพาะไม่มีอาหาร


  • อ้วกเป็นสีแดงหรือมีลิ่มเลือด


    บ่งบอกถึงการอักเสบ ระคายเคือง หรือเลือดออกที่บริเวณทางเดินอาหารส่วนต้น เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น หรืออาจจะเป็นสีของอาหารก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามอ้วกออกมาเป็นสีแดงต้องพามาพบสัตวแพทย์ทันที


  • อ้วกออกมามีสีน้ำตาล


    บ่งบอกถึงการอักเสบ ระคายเคือง หรือเลือดออกในทางเดินอาหารแบบเรื้อรัง สีน้ำตาลที่เห็นอาจจะเป็นเลือดที่ถูกย่อยหรืออาจจะเป็นสีของอาหารก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามอ้วกออกมาเป็นสีน้ำตาลต้องพามาพบสัตวแพทย์ทันที


  • อ้วกเป็นสีเหลือง


    เป็นน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร


  • อ้วกเป็นสีเขียว


    มักมีส่วนผสมของพืช หรือหญ้าที่แมวกินเข้าไป


แนวทางการดูแลแมวอ้วกเบื้องต้น


เมื่อแมวมีอาการอาเจียน สิ่งสำคัญอันดับแรก คือการ “สังเกตลักษณะของสิ่งที่อ้วกออกมา” ว่ามีสี ปริมาณ และลักษณะเป็นอย่างไร รวมถึงเกิดขึ้นหลังมื้ออาหารนานเท่าไหร่ เพราะรายละเอียดเหล่านี้ช่วยให้เราแยกได้ว่าเป็นเพียงอาการเล็กน้อยจากการกินเร็ว หรือมีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารแอบซ่อนอยู่หรือไม่


หลังจากแมวอาเจียน ไม่ควรรีบให้น้ำหรืออาหารทันที ควรรอให้กระเพาะได้พักประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง จากนั้นเริ่มให้อาหารในปริมาณน้อยเพียงราว 25% ของมื้อปกติ และคอยสังเกตว่าหลังจากกินแล้วมีการอาเจียนซ้ำอีกหรือไม่ หากอาการยังคงเป็นเหมือนเดิมหรือเริ่มแย่ลง ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์


ระหว่างนี้ให้สังเกตอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ซึม เหนื่อย หรือถ่ายเหลว เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะขาดน้ำ หรือการสูญเสียเกลือแร่สำคัญอย่างโพแทสเซียม ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา


ที่สำคัญที่สุด ห้ามให้ยาแก้อาเจียนเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ เพราะบางกรณีอาการอาเจียนอาจเกิดจากการอุดตันในทางเดินอาหาร หากให้ยาก่อนตรวจอาจทำให้วินิจฉัยโรคได้ยากหรืออาจปกปิดอาการที่รุนแรงได้


วิธีป้องกันไม่ให้แมวอ้วกบ่อย


การป้องกันอาการอาเจียนในแมวทำได้ไม่ยาก เพียงเริ่มจากพฤติกรรมพื้นฐานในชีวิตประจำวัน เช่น


  • ให้แมวกินอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ เพื่อช่วยลดการกินเร็วเกินไป ควบคู่กับการตรวจสอบคุณภาพของอาหารก่อนทุกครั้ง ว่าไม่หมดอายุหรือบูดเสีย โดยเฉพาะอาหารเปียกหรือนม ควรเก็บทิ้งหากตั้งทิ้งไว้นานเกิน 1-2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค


  • ควรแปรงขนให้แมวเป็นประจำทุกวัน วันละ 5 - 10 นาที


โดยเฉพาะในแมวขนยาว เพื่อช่วยลดการกลืนขนเข้าสู่กระเพาะ และลดโอกาสเกิดก้อนขน (hairball) ซึ่งเป็นสาเหตุของการอาเจียนในหลายๆกรณี


  • อย่าลืมพาแมวไป ถ่ายพยาธิ ตรวจสุขภาพประจำปี และฉีดวัคซีนให้ครบตามโปรแกรม เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อที่อาจทำให้เกิดอาการอาเจียนได้


  • ควรเก็บสิ่งของภายในบ้านให้เป็นระเบียบ ป้องกันไม่ให้แมวกลืนสิ่งแปลกปลอม เช่น ถุงพลาสติก ยาง หรือของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งอาจติดคอหรือติดในลำไส้จนเกิดภาวะอุดตันได้


ข้อมูลสำคัญที่ควรเตรียมก่อนพาแมวไปหาสัตวแพทย์


ก่อนพาแมวไปหาหมอ ควรจดรายละเอียดต่างๆ ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อช่วยให้วินิจฉัยสาเหตุได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น ลักษณะของสิ่งที่อาเจียนออกมา ความถี่ และช่วงเวลาหลังมื้ออาหาร ตัวอย่างเช่น


“อาเจียนเป็นอาหารผสมน้ำสีเหลือง 3 ครั้งต่อวัน หลังทานอาหารไปประมาณ 2 ชั่วโมง”


รวมถึงประวัติการฉีดวัคซีน การถ่ายพยาธิ อาหารที่ใช้เลี้ยง วิธีการให้อาหาร และมีสัตว์ตัวอื่นอยู่ร่วมบ้านหรือไม่ หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ซึม เบื่ออาหาร หรืออ่อนแรง ควรแจ้งให้หมอทราบทั้งหมด และอย่าลืมให้ข้อมูลเรื่องโรคประจำตัว หรือประวัติการรักษาก่อนหน้า เพราะจะช่วยให้สัตวแพทย์วางแนวทางการตรวจและรักษาได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด







 
 
 

Comments


bottom of page